อนุทินที่
1
แบบฝึกหัด
คำสั่ง
หลังจากนักศึกษาได้ศึกษาบทเรียนนี้แล้ว จงตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
1. ท่านคิดว่าทาไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไร
ตอบ มนุษย์เราต้องมีกฎหมาย
หากไม่มีกฎหมายบ้านเมืองก็จะอยู่ด้วยกันไม่สงบสุข ผู้คนไม่ปฎิบัติถูกต้องตามศีลธรรม
2. ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร
ตอบ สังคมมีแต่ความวุ่นวาย
คนที่ทำผิดหากไม่ถูกจับไปลงโทษก็จะกระทำความผิดนั้นซ้ำๆ
จนก่อให้เกิดความวุ่นวายและไม่สงบสุขแก่ชาติบ้านเมือง
3. ท่านมีความรู้ความเข้าเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้
ตอบ ก. ความหมาย
ความหมายของกฎหมาย
ได้มีนักปรัชญาทางกฎหมายได้ให้คานิยามไว้หลากหลายและน่าสนใจ
มีดังนี้
จอห์น ออสติน (John Austin, 1954; อ้างจาก จรัญ โฆษณานันท์, 2537, 48) ปรัชญาเมธีชาวอังกฤษ
ได้อธิบายคาว่า กฎหมาย คือคาสั่งบัญชาของรัฎฐาธิปัตย์
ซึ่งบังคับใช้กับกฎหมายทั้งหลาย ถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม
โดยปกติแล้วผู้นั้นจะต้องรับโทษ
เอกูต์ (H.A. Court ; อ้างจาก
วิษณุ เครืองาม, 2525, 12) ศาสตราจารย์ทางกฎหมายชาวฝรั่งเศส
ได้อธิบายว่า กฎหมาย คือ
คาสั่งและข้อห้ามซึ่งมนุษย์ต้องเคารพในความประพฤติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอันมาจากรัฏฐาธิปัตย์หรือหมู่มนุษย์
มีลักษณะทั่วไปใช้บังคับได้เสมอและจาเป็นต้องปฏิบัติตาม
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (2443,
2 ; อ้างอิงจาก ยุทธนา พูนทอง, 2532, 9) พระบิดาแห่งกฎหมายไทย
ทรงอธิบายว่า กฎหมาย คือ คาสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองว่าการแผ่นดินต่อราษฎรทั้งหลาย
เมื่อไม่ทาตามแล้วตามธรรมดาต้องโทษ
หลวงจารูญเนติศาสตร์ (2502 ; อ้างอิงจาก วิษณุ เครืองาม, 2525, 12) อธิบายว่า
กฎหมายคือ กฎข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติ ซึ่งผู้มีอานาจของประเทศได้บัญญัติขึ้น
และบังคับให้ผู้ที่อยู่ในสังกัดของประเทศนั้นถือปฏิบัติตาม
หยุด แสงอุทัย (2552, 36) ได้ให้ความหมายของคาว่า
กฎหมายคือ มีลักษณะเป็นข้อบังคับซึ่งกาหนดความประพฤติของมนุษย์
ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายหรือถูกลงโทษ ในสมัยใหม่ส่วนใหญ่เป็นข้อบังคับของรัฐ
สมคิด บางโม (2546, 15)ได้ให้ความหมายของกฎหมายคือ
คาสั่งข้อบังคับของรัฐที่กาหนดขึ้น
เพื่อกาหนดความประพฤติของพลเมืองผู้ใดฝ่าฝืนไม่ยอมปฏิบัติตามมีความผิดและถูกลงโทษ
การบังคับใช้กับพลเมืองทุกคน ไม่จากัด อายุ เพศ ชั้น วรรณะ สัญชาติ
และกฎหมายจะใช้บังคับตลอดจนไปกว่าจะประกาศยกเลิก
จากความหมายที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทั้งหมด
พอที่จะสรุปได้ว่า กฎหมายคือ คาสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์
จากคณะบุคคลที่มีอานาจสูงสุดของรัฐ
เป็นข้อบังคับใช้กับคนทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือประเทศนั้น ๆ
จะต้องปฏิบัติตามและมีสภาพบังคับที่มีการกาหนดบทลงโทษ
ข.
ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
ประเด็นความหมายที่สรุปไว้ข้างต้น
หากนามาพิจารณาพอที่กาหนดเป็นองค์ประกอบที่สาคัญของกฎหมายที่สาคัญคือ
ประชาชนที่อยู่ร่วมกันในอาณาเขตเดียวกัน และมีอานาจอธิปไตยเป็นของตนเอง
พอที่จะสรุปได้ว่า ลักษณะหรือองค์ประกอบได้ 3 ประการคือ
(ชิรวัฒน์ นิจเนตร, 2542, 2-3;สกล สัมพันธ์กลอน,
2545,1; พิชิต รอดทอง, 2550, 4-5)
1. เป็นคาสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์ที่องค์กรหรือคณะบุคคลที่มีอานาจสูงสุดอาทิ
รัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติ หัวหน้าคณะปฏิวัติ กษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
สามารถใช้อานาจบัญญัติกฎหมายได้ เช่น รัฐสภา ตราพระราชบัญญัติ คณะรัฐมนตรี
ตราพระราชกาหนด พระราชกฤษฎีกา คณะปฏิวัติ ออกคาสั่ง หรือประกาศคณะปฏิวัติชุดต่าง ๆ
ถือว่าเป็นกฎหมาย
2. มีลักษณะเป็นคาสั่งข้อบังคับ
อันมิใช่คาวิงวอน ประกาศ หรือแถลงการณ์ อาทิ ประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ
คาแถลงการณ์ของคณะสงฆ์ ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติมิใช่กฎหมาย
สาหรับคาสั่งข้อบังคับที่เป็นกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 พระราชกาหนดบริหารราชการฉุกเฉิน
พ.ศ. 2548 เป็นต้น
3. ใช้บังคับกับคนทุกคนในรัฐอย่างเสมอภาค
เพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวและถือปฏิบัติสังคมจะสงบสุขได้ เช่น
กฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ ใช้บังคับกับผู้ที่มีเงินได้
แต่ไม่บังคับเด็กที่ยังไม่มีเงินได้ การแจ้งคนเกิดภายใน 15
วัน แจ้งคนตายภายใน 24 ชั่วโมง
ยื่นแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกิน เมื่ออายุย่างเข้า 18 ปี
เข้ารับการตรวจคัดเลือกเป็นทหารประจาการเมื่ออายุย่างเข้า 21
ปีเป็นต้น
4. มีสภาพบังคับ
ซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทาและการงดเว้นการกระทาตามกฎหมายนั้น
ๆ กาหนด หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้
และสภาพบังคับในทางอาญาคือ โทษที่บุคคลผู้ที่กระทาผิดจะต้องได้รับโทษ เช่น
รอลงอาญา ปรับจาคุก กักขัง ริมทรัพย์ แต่หากเป็นคดีแพ่ง
ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
หรือค่าเสียหายหรือชาระหนี้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินให้กระทาหรืองดเว้นกระทาอย่างใดอย่างหนึ่งตามมูลหนี้ที่มีต่อกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้
เช่น บังคับใช้หนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย
บังคับให้ผู้ขายส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขายเป็นต้น
ค. ที่มาของกฎหมาย
ที่มาของกฎหมาย
มีตาราบางแห่งใช้ว่าบ่อเกิดของกฎหมาย
หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบที่กฎหมายแสดงออกมา สาหรับที่มาของกฎหมายในแต่ละประเทศมีที่มาแตกต่างกัน
ส่วนของประเทศไทย พอที่จะสรุปได้ 5 ลักษณะดังนี้ (ศรีราชา
เจริญพานิช, 2525; คมชัย สุวรรณดีและคณะ, 2545; สกล สัมพันธ์กลอน, 2545; สายหยุด แสงอุทัย,
2552)
1. บทบัญญัติแห่งกฎหมาย เป็นกฎหมายลักษณ์อักษร
เช่น กฎหมายประมวลรัษฎากร รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกาหนด พระราชกฤษฎีกา
กฎกระทรวง เทศบัญญัติ ซึงกฎหมายดังกล่าว
ผู้มีอานาจแห่งรัฐหรือผู้ปกครองประเทศเป็นผู้ออกกฎหมาย
2. จารีตประเพณี
เป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานาน
หากนาไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมมีสภาพไปเป็นกฎหมาย เช่น
การชกมวยเป็นกีฬา หากชนตามกติกา หากคู่ชกบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิต
ย่อมไม่ผิดฐานทาร้ายร่างกายหรือฐานฆ่าคนตาย อีกกรณีหนึ่งแพทย์รักษาคนไข้
ผ่าตัดขาแขน โดยความยินยอมของคนไข้
ย่อมถือว่าไม่มีความผิดเพราะเป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติต่อกันมา ปฏิบัติโดยชอบตามกติกาหรือเกณฑ์หรือจรรยาบรรณที่กาหนดจึงไม่ถือว่าเป็นความผิดทางกฎหมาย
3. ศาสนา เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุก ๆ
ศาสนาสอนให้เป็นคนดี เช่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามผิดลูกเมีย ห้ามทาร้ายผู้อื่น
กฎหมายจึงได้บัญญัติตามหลักศาสนาและมีการลงโทษ
4. คาพิพากษาของศาลหรือหลักบรรทัดฐานของคาพิพากษา
ซึ่งคาพิพากษาของศาลชั้นสูงเป็นแนวทางที่ศาลชั้นต้นต้องนาไปถือปฏิบัติในการตัดสินคดีหลัง
ๆ ซึ่งแนวทางเป็นเหตุผลแห่งความคิดของตนว่าทาไมจึงตัดสินคดีเช่นนี้
อาจนาไปสู่การแก้ไขกฎหมายในแนวความคิดนี้ได้ จะต้องตรงตามหลักความจริงมากที่สุด
5. ความเห็นของนักนิติศาสตร์
เป็นการแสดงความคิดเห็นของว่าสมควรที่จะออกกฎหมายอย่างนั้น สมควรหรือไม่
จึงทาให้นักนิติศาสตร์
อาจจะเป็นอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในกฎหมายได้แสดงความคิดเห็นว่ากฎหมายฉบับนั้นได้
ในประเด็นที่น่าสนใจเพื่อที่จะแก้ไขกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนดังกล่าว
เช่น กฎหมายลักษณะอาญาประกาศใช้ใหม่ ๆ บัญญัติว่า “การถืออาวุธในถนนหลวงไม่มีความผิดถ้าไม่มีกระสุน”
ต่อมาพระบิดากฎหมายได้ทรงเขียนอธิบายเหตุผลว่า “การถืออาวุธในถนนหลวงควรมีข้อห้ามหรือเป็นความผิด” จึงได้แก้ไขกฎหมาย
ดังกล่าว
ง.
ประเภทของกฎหมาย
ได้มีนักวิชาการแบ่งประเภทของกฎหมายไว้หลากหลาย
ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ในการแบ่งของแต่ละท่าน
การแบ่งประเภทกฎหมายที่จะนาไปใช้นั้นมีรูปแบบและลักษณะที่แตกต่างกัน
หากเราจะพิจาณาแบ่งประเภทของกฎหมายออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ
แบ่งได้หลายลักษณะขึ้นอยู่กับว่าเราใช้อะไรเป็นหลักในการแบ่ง ได้แก่
แบ่งโดยแหล่งกาเนิด
อาจแบ่งออกได้เป็นกฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก
กฎหมายภายใน เป็นหลักในการแบ่งย่อยออกไปได้อีก
เช่น
แบ่งโดยถือเนื้อหาเป็นหลัก
เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร
แบ่งโดยถือสภาพบังคับกฎหมายเป็นหลัก เป็นกฎหมายอาญา
และกฎหมายแพ่ง
แบ่งโดยถือลักษณะเป็นหลัก แบ่งได้เป็น
กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
แบ่งโดยถือฐานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นเกณฑ์
แบ่งได้เป็น กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
กฎหมายภายนอก เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศแบ่งตามลักษณะของฐานะความสัมพันธ์
เช่น แบ่งเป็นกฎหมายประเภทแผนกคดีเมือง
ส่วนที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
ส่วนที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐหนึ่งกับบุคคลในอีกรัฐหนึ่ง
และกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยข้อตกลงระหว่างรัฐในการร่วมมืออย่างถ้อยทีถ้อยปฏิบัติในการปราบปรามอาชญาระหว่างประเทศและส่งตัวผู้ร้ายข้ามให้แก่กัน
(สมคิด บางโม, 2548, 16-17 ; ภูมิชัย สุวรรณดีและคณะ,
2543, 27-31 ; สกล สัมพันธ์กลอน, 2546, 4-5 ; มานิตย์
จุมปา, 2542, 119 ; ศรีราชา เจริญพานิช, 2548,
118-119)
ซึ่งการแบ่งประเภทกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย
ขึ้นอยู่ใช้หลักใดจะขอกล่าวโดยทั่ว ๆไปดังนี้
ก. กฎหมายภายใน มีดังนี้
1. กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร
แบ่งโดยยึดเนื้อหาของกฎหมายที่ปรากฏเป็นหลัก
โดยผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมาย เช่น รัฐธรรมนูญ
พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมายต่าง ๆ พระราชกาหนด พระราชกฤษฎีกา
ที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา หรือ ออกโดยองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
อาศัยอานาจจากพระราชบัญญัติ เช่น เทศบัญญัติ
1.2 กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
เป็นกฎหมายที่มิได้มีการบัญญัติโดยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ เช่น จารีตประเพณี
หลักกฎหมายทั่วไป
2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา
และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 วรรคแรก บัญญัติโทษทางอาญา เช่น
การประหารชีวิต จาคุก กักขัง ปรับ หรือริบทรัพย์สิน
สภาพบังคับทางอาญาจึงเป็นโทษอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง
ใช้ลงโทษกับผู้กระทาผิดทางอาญา 2.2
กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง ได้บัญญัติถึงสภาพบังคับลักษณะต่าง ๆ
กันไว้สาหรับลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่กระทาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เช่น
การกาหนดให้เป็น โมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม การบังคับให้ชาระหนี้
การให้ชดใช้ค่าเสียหาย
หรือการที่กฎหมายบังคับให้ทาอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อความเป็นธรรม
อนึ่งสาหรับสภาพบังคับทั้งทางอาญาและทางแพ่งควบคู่กันไปก็ได้
เช่น กฎหมายที่ดินพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค
และพระราชบัญญัติการล้มละลาย อีกทั้งยังมีสภาพบังคับทางปกครองอีก
ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
3. กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
3.1 กฎหมายสารบัญญัติ
แบ่งโดยคานึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก
กล่าวถึงการกระทาที่กฎหมายกาหนดเป็นองค์ประกอบแห่งความผิด หรือเป็นสิทธิ
หน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กฎหมายประสงค์จะควบคุมหรือคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนซึ่งจะก่อให้เกิดผล
มีสภาพบังคับที่รัฐหรือผู้มีอานาจบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายเป็นผู้กาหนด
การกระทาผิด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าลักษณะองค์ประกอบความผิดตามบทกฎหมาย
กฎหมายที่กาหนดองค์ประกอบความผิด
และกาหนดความร้ายแรงแห่งโทษจึงเป็นกฎหมายสารบัญญัติ
เช่นตัวบทกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาและในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชเกือบทุกมาตราเป็นกฎหมายสารบัญญัติ
3.2 กฎหมายวิธีสบัญญัติ กล่าวถึง
วิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับ เช่นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ซึ่งในประมวลกฎหมายนี้
กาหนดตั้งแต่อานาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐในการดาเนินคดีทางอาญา การร้องทุกข์
การกล่าวโทษว่ามีการกระทาผิดอาญาเกิดขึ้น การสอบสวนคดีโดยเจ้าพนักงาน
การฟ้องร้องคดีต่อศาล การพิจารณาคดี และการพิจารณาคดีในศาล การลงโทษแก่ผู้กระทาผิด
สาหรับคดีแพ่ง กฎหมายวิธีการพิจารณาความแพ่งจะกาหนดขั้นตอนต่าง ๆไว้
เป็นวิธีการดาเนินคดีเริ่มตั้งแต่ฟ้องคดีเรื่อยไปจนถึงศาลพิจารณาคดีและบังคับให้เป็นไปคาพิพากษา
ยังมีกฎหมายบางฉบับมีทั้งที่เป็นสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติทาให้ยากที่จะแบ่งว่าเป็นประเภทใด
เช่น พระราชบัญญัติล้มละลาย
มีทั้งหลักเกณฑ์องค์ประกอบและวิธีการดาเนินคดีล้มละลายรวมอยู่ด้วย
การที่จะเป็นไปกฎหมายประเภทใดให้ดูว่าสาระนั้นหนักไปทางใดมากกว่ากัน
4. กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
4.1 กฎหมายมหาชน
เป็นกฎหมายที่กาหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน
รัฐเป็นผู้มีอานาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย
เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม คือ
กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กาหนดระเบียบแบบแผนการใช้อานาจอธิปไตย
กาหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน กฎหมายปกครอง
กาหนดการแบ่งส่วนราชการเพื่อบริหารประเทศ และการบริการสาธารณะด้านต่าง ๆ
แก่ประชาชน
กฎหมายอาญา เพื่อคุ้มครองความสงบในสังคม
รัฐต้องลงโทษผู้ฝ่าฝืนและกระทาผิด สาหรับวิธีและขั้นตอนที่จะเอาคนมาลงโทษทางอาญา
บัญญัติไว้ในกฎหมายวิธีการพิจารณาความอาญา และพระบัญญัติอื่น ๆ
เป็นกฎหมายที่ควบคุมและคุ้มครองสังคมให้เกิดความสงบสุขและเป็นธรรม
4.2 กฎหมายเอกชน
เป็นกฎหมายที่มีความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกัน เช่น กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และพระราชบัญญัติบางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จากัด
เปิดโอกาสให้ประชาชนสร้างความสัมพันธ์เชิงกฎหมายระหว่างกันในรูปของการทานิติกรรมสัญญา
มีผลต่อคู่กรณีให้มีกฎหมายคุ้มครองทั้ง 2 ฝ่ายมีผลผูกพัน โดยการทาสัญญา
ปฏิบัติตามกฎหมายครบทุกประการ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปปฏิบัติตามหน้าที่ย่อมถูกฟ้องบังคับให้ปฏิบัติตามได้
ข. กฎหมายภายนอก มีดังนี้
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐในการที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน
ในฐานะที่รัฐเป็นนิติบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งมีเกณฑ์กาหนดกล่าวคือ 1)
ประชาชนรวมกันอยู่เป็นกลุ่มก้อน ปึกแผ่น เรียกว่า พลเมือง 2)
ต้องมีดินแดนหรืออาณาเขตที่แน่นอน 3) มีการปกครองเป็นระเบียบแบบแผน 4) เป็นเอกราช
5) มีอธิปไตย เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญา ข้อตกลงการค้าโลก
กฎหมายที่เป็นจารีตประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมานาน รัฐทุกรัฐต่างเห็นชอบ เช่น
หลักการแต่งตั้งเอกอัครราชทูต เอกสิทธิในทางการทูต
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
เป็นข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐต่างรัฐ เช่น
พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดแย้งแห่งกฎหมาย
เป็นการบังคับความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยกับบุคคลที่อยู่ในรัฐอื่น ๆ
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา
เป็นข้อบังคับที่ประเทศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับให้ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอานาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทาผิดนอกประเทศนั้นได้
เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ว่า ทำไมทุกประเทศจาเป็นต้องมีกฎหมาย
จงอธิบาย
ตอบ เพราะทุกประเทศต้องมีกฎกติกาที่ก่อตั้งขึ้นมา
ซึ้งบางครั้งแต่ละประเทศจะมีบทบัญญัติเกี่ยวกับกฎหมายที่ไม่เหมือนกัน
เพราะถ้ามีกฎหมายจะทำให้ประเทศอยู่ด้วยความสงบสุข
5. สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร
จงอธิบาย
ตอบ ข้อบังคับที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนประพฤติ
ปฎิบัติตาม หากผู้ใดฝ่าฝืน หรือกระทำผิดจะมีบทลงโทษว่าไปตามความผิด
6. สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง
มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ กฏหมายอาญา คือ
กฏหมายที่กำหนดความผิดทางอาญาพื้นฐานที่สังคมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ต้องลงโทษ
กฎหมายแพ่ง
คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ของบุคคลในฐานะเอกชนทั่วไป
ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องสถานะของบุคคล (คือ บุคคล ครอบครัว) เรื่องทรัพย์สิน (คือ
ทรัพย์ มรดก) และเรื่องหนี้ (คือ บ่อเกิดแห่งหนี้และผลแห่งนี้)
7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย
ตอบ ระบบของกฎหมาย (Legal
System) หรือ สกุลของกฎหมาย (Legal Family) เป็นความพยายามของนักกฎหมาย
ที่จะจับกลุ่มของกฎหมายที่มีใช้อยู่ในประเทศต่าง ๆ ในโลก
ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้ระบบกฎหมายอาจแบ่งออกได้เป็น
4 ระบบ คือ
1. ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil Law) หรือระบบประมวลกฎหมาย
(Code Law) หรือสกุลโรมาโน เยอรมานิค( Romano
Germanic) กฎหมายระบบนี้กำเนิดขึ้นในทวีปยุโรป
จากการศึกษาค้นคว้ากฎหมายโรมัน โดยเฉพาะอิตาลีกับเยอรมันซึ่งได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมโรมัน
ถือว่าเป็นประเทศที่พัฒนากฎหมายระบบนี้ให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง
กฎหมายระบบนี้ให้ความสำคัญกับกฎหมายที่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
การศึกษากฎหมายต้องเริ่มจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ คำพิพากษาของศาลไม่ใช่กฎหมาย
แต่เป็นบรรทัดฐาน
แบบอย่างในการตีความกฎหมาย
ปัจจุบันประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ได้แก่ อิตาลี เยอรมัน
สวิตเซอร์แลนด์ สเปน ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ออสเตรีย สวีเดน ฟินแลนด์ ญี่ปุ่น และไทย
2. ระบบกฎหมายกฎหมายจารีตประเพณี (Common Law) ตำราบางเล่มเรียกว่า
กำเนิดขึ้นในประเทศอังกฤษ กฎหมายระบบนี้ให้ความสำคัญกับจารีตประเพณี
โดยใช้เป็นหลักในการพิจารณาตัดสินคดีความต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
เมื่อตัดสินชี้ขาดแล้วก็กลายเป็นหลักการ
เมื่อมีคดีความที่มีลักษณะคล้ายกันเกิดขึ้นก็ต้องใช้หลักของคดีแรกเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินชี้ขาด
ปัจจุบันประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายกฎหมายจารีตประเพณี ได้แก่ สหรัฐอเมริกา
อังกฤษ และประเทศในเครือจักรภพ
3. ระบบกฎหมายประเทศสังคมนิยม (Socialist Law) เกิดขึ้นและใช้อยู่ในสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศบริวาร
เกิดจากความต้องการของนักกฎหมายของประเทศสังคมนิยม ตามปรัชญาของลักทธิมาร์กซ์
ซึ่งความจริงก็คือกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง แต่ก็มีส่วนที่แตกต่างกันก็คือ
กฎหมายระบบนี้ต้องการสร้างความเท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นในสังคม
ให้ความสำคัญเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน โดยรัฐมีอำนาจเข้าไปจัดการถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของประชาชนได้
และรัฐเป็นผู้จัดสวัสดิการให้ ประชาชนไม่มีอำนาจต่อรองใด ๆ ทั้งสิ้น
4. ระบบกฎหมายศาสนา (Religion Law) เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศที่ใช้หลักทางศาสนาเป็นแม่บทในการปกครอง เช่น
กฎหมายศาสนาอิสลามซึ่งใช้อยู่ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง
กฎหมายระบบนี้ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ ข้อบัญญัติศาสนา
การพิจารณาตัดสินคดีความก็จะใช้กฎแห่งศาสนาเป็นหลัก
8. ประเภทของกฎหมายมีหลักการแบ่งอย่างไรบ้าง
มีกี่ประเภท แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง ยกตัวอย่างอธิบาย
ตอบ กฏหมายที่นำมาใช้นั้น อาจมีรูปแบบและลักษณะต่างๆ
กัน การศึกษาถึงการแบ่งประเภทของกฏหมาย
นอกจากจะทำให้มีความเข้าใจในลักษณะของกฏหมายประเภทต่างๆ มากขึ้นแล้ว
ยังก่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้กฏหมายได้ถูกต้องแก่กรณีด้วย
ซึ่งในบทนี้จะกล่าวถึงการแบ่งประเภทของกฏหมายเป็น 3
กรณีด้วยกัน คือ
1.
กฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
2. กฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีสบัญญัติ
3. กฏหมายประเภทอื่นๆ
ในกรณีที่ 1 และ 2
นั้นเป็นการแบ่งประเภทของกฏหมายซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปโดยยึดถือลักษณะของความสัมพันธ์ในกฏหมาย
(แบ่งได้เป็นกฏหมายเอกสานและกฏหมายมหาชน) และยึดถือลักษณะการใช้กฏหมาย
(แบ่งได้เป็นกฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีสบัญญัติ) เป็นหลักในการพิจารณา
ส่วนในกรณีที่ 3 นั้น เป็นการแบ่งประเภทของกฏหมายในกรณีอื่นๆ
ซึ่งมีอยู่หลากหลายทั้งนี้ เพราะขึ้นอยู่กับผู้ที่ทำการแบ่งประเภทนั่นเองว่าจะยึดถือเกณฑ์ใดเป็นหลักเช่น
เกณฑ์แหล่งกำเนิด
(แบ่งได้เป็นกฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก) เกณฑ์รูปแบบ
(แบ่งได้เป็นกฏหมายลายลักษณ์อักษรและกฏหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร)
หรือเกณฑ์สภาพบังคับของกฏหมาย (แบ่งได้เป็นกฏหมายอาญาและกฏหมายแพ่ง) ซึ่งในกรณีที่
3 นี้ เป็นการแบ่งแยกประเภทของกฏหมายเพื่อใช้เฉพาะกรณีๆ ไป
1. กฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
การแบ่งกฏหมายออกเป็นกฏหมายเอกชนกับกฏหมายมหาชน
เป็นการแบ่งโดยยึดถือลักษณะของความสัมพันธ์เป็นเกณฑ์ กล่าวคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับด้วยกันเองเป็นเรื่องของกฏหมายเอกชน
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน เป็นกฏหมายมหาชน แต่อย่างไรก็ตาม
การแยกเป็นกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน มีเกณฑ์ที่ใช้แบ่งแยก ดังนี้
1.1 เกณฑ์การแบ่งแยกปรเภทกฏหมายเอกชนหรือมหาชน ในการแบ่งประเภทของกฏหมายว่าเป็นกฏหมายเอกชนหรือมหาชนนั้น
มีหลักเกณฑ์ที่ใช้ พิจารณาจะต้องคำนึงทั้ง 4
หลักเกณฑ์นี้ควบคู่กันไป ไม่อาจที่จะแยกคำนึงถึงหลักเกณฑ์ใดเพียงหลักเกณฑ์ได้
ดังต่อไปนี้ [1]
(1) เกณฑ์องค์กร คือ ยึดถือตัวบุคคลผู้ก่อนิติสัมพันธ์เป็นเกณฑ์
กฏหมายมหาชน
ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชนหรือหระว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง
กฏหมายเอกชน
ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างเอกชนด้วยกันเท่านั้น
ดังนี้
จะเห็นได้ว่ากฏหมายมหาชนนั้นกำหนดความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ (ผู้ปกครอง)
ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง (ผู้อยู่ใต้ปกครอง)
คือเป็นนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อมีสถานะไม่เท่าเทียมกันหรือเป็นนิติสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับเรื่องการใช้อำนาจปกครองซึ่งทำขึ้นระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองส่วนกฏหมายมหาชนนั้น
เป็นเรื่องของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ที่มีสถานะเหมือนกันและเท่าเทียมกัน
กฏหมายมหาชน
ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ
กฏหมายเอกชน
ใช้กับนิติสัมพันธ์ที่ต้องอาศัยความสมัครใจของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากยึดถือหลักความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน
เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวจึงต้องให้มีการทำสัญญากันอย่างเสรี
หากฝ่ายใดฝ่าฝืน ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล เพราะต่างฝ่ายต่างเสมอภาค
กันต้องให้ศาลทำหน้าที่เป็นคนกลางเข้ามาตัดสิน(4) เกณฑ์เนื้อหา
กฏหมายมหาชน เป็นกฏเกณฑ์ที่มีลักษณะทั่ว
ไม่ระบุตัวบุคคล (กฏหมายตามภาวะวิสัย) คือ
เป็นกฏเกณฑ์ที่ใช้ได้ทั่วไปกับบุคคลใดก็ได้ไม่เฉพาะเจาะจง
และจะตกลงยกเว้นไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ ถือว่าเป็นกฏหมายบังคับ
กฏหมายเอกชน ไม่ใช่กฏหมายบังคับ
เอกชนสามารถตกลงผูกพันกันเป็นอย่างอื่น นอกจากที่กฏหมายเอกชนบัญญัติไว้ได้
(แต่ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน)
ถ้าหากเอกชนไม่ตกลงให้แตกต่างออกไป ก็จะบังคับกันตามที่กฏหมายเอกชนบัญญัติไว้
(เท่ากับว่ากฏหมายเอกชนเป็นกฏหมายเสริมนั่นเอง) ดังนี้
เมื่อเอกชนยอมใช้กฏหมายเอกชนระหว่างกัน ทำให้กฏหมายเอกชนมีลักษณะเป็นกฏเกณฑ์เฉพาะเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อใช้กับบุคคลเฉพาะรายเท่านั้น
(เป็นกฏหมายตามอัตวิสัย) เช่น ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น
(3) เกณฑ์วิธีการ
วิธีการที่ใช้ในการก่อนิติสัมพันธ์ของ 2 กรณีนี้
จะแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิงกล่าวคือ
กฏหมายมหาชน
ใช้ตัวสำหรับนิติสัมพันธ์ที่ไม่ต้องอาศัยความสมัครใจของคู่สัญญาอีกอีกฝ่ายหนึ่ง
(เอกชน) เลย รัฐสามารถออกคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตได้ และถ้ามีการฝ่าฝืน
รัฐสามารถบังคับให้เอกชนปฏิบัติตามได้ทันทีโดยไม่ต้องไปฟ้องศาล ทั้งนี้
เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์สาธารณะในฐานะผู้ปกครอง เช่น
ตำรวจจราจรให้สัญญาณอยุดรถ ถ้ารถไม่อยุดเพราะไม่สมัครใจ จะหยุด
ตำรวจจราจรสามารถปรับคนขับรถได้(Public interest) คือ
เพื่อสนองความต้องการของประชาชนส่วนรวมนั่นเอง เช่น
สัญญาสัมปทานที่รัฐทำกับเอกชนเพื่อจัดทำสาธารณูปโภคต่างๆ
กฏหมายเอกชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่มุ่งถึงผลประโยชน์ของตน
ไม่ว่าจะทรัพย์สินเงิน ชื่อเสียง เกียรติยศของบุคคลนั้นๆ เองเป็นหลัก
(2) เกณฑ์วัตถุประสงค์ คือ
ยึดถือจุดประสงค์ของนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2
ฝ่ายทำขึ้นเป็นเกณฑ์
1.2 ความหมายของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
จากการศึกษาลักษณะของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนดังกล่าวข้างต้น
จึงสรุปได้ว่า
กฏหมายเอกชน คือ
กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อกันในฐานะ
"ผู้อยู่ใต้ปกครอง" ที่ต่างฝ่ายต่างก็เท่าเทียมกัน [2]
กฏหมายมหาชน คือ กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชน
หรือหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็น
"ผู้ปกครอง" [3]
1.3 ข้อจำกัดของการแย่งแยกประเภทกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
โดยหลักแล้วในการพิจารณาว่าเรื่องใดเป็นกฏหมายเอกชน
เรื่องใดเป็นกฏหมายมหาชน จะคำนึงถึงเกณฑ์ทั้ง 4
ข้อดังกล่าวประกอบไปด้วยกัน แต่ก็ไม่อาจยึดถือเกณฑ์ทั้ง 4
ข้อนี้ได้ในทุกกรณี กล่าวคือ ในความเป็นจริงอาจมีกรณีที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐ
ไม่ได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ส่วนตน ซึ่งทำให้เกิดข้อยกเว้นในการยึดถือเกณฑ์ทั้ง 4 ข้อดังกล่าวในการพิจารณา กล่าวคือ
1.3.1 ในแง่ของรัฐ
ในแง่ของรัฐ อาจไม่นำกฏหมายมหาชนมาใช้ในการดำเนินการของรัฐได้ในสองกรณี คือ
กรณีแรก รัฐหรือหน่วยงานของรัฐนั้นเลือกที่จะไม่ใช้กฏหมายมหาชน
แต่เลือกสิ่งที่จะใช้กฏหมายเอกชนแทน
ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการที่รัฐได้สละสิทธิในฐานะผู้ครองยอมลดตัวลงมาเท่ากับเอกชน
ดังตัวอย่างเช่น เมื่อรัฐต้องการที่ดินไปสร้างโรงไฟฟ้า
แทนที่รัฐจะใช้อำนาจในฐานะผู้ปกครองเวนคืนที่ดินของเอกชน
รัฐกลับเลือกใช้การทำสัญญาซื้อที่ดินนั้นภายใต้กฏหมายเอกชนแทน
แต่ในการเลือกใช้กฏหมายของรัฐนี้ จะต้องเป็นกรณีที่ไม่มีกฏหมายห้ามไว้ด้วย
กรณีที่สอง ในกรณีที่รัฐทำกิจกรรมที่มีลักษณะเหมือนกับกิจกรรมของเอกชน คือ
รัฐทำการผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการเช่นเดียวกับเอกชน เช่น
โรงงานยาสูบผลิตบุหรี่ขายแข่งกับเอกชน
หรือองค์กรเภสัชกรรมผลิตอาหารขายแข่งกับเอกชน เป็นต้น
กรณีนี้จึงจะต้องใช้กฏหมายเอกชนบังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐซึ่งเป็นผู้ผลิตหรือใช้บริการกับเอกชนผู้ใช้บริการเพื่อความเป็นธรรมแก่เอกชน
1.3.2 ในแง่ของเอกชน
ในแง่ของเอกชน ในปัจจุบันเอกชนและรัฐหันมาร่วมมือกันมากขึ้น
มีหลายกรณีที่เอกชนเข้ามาทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์สาธารณะ
จึงมีกฏหมายให้อำนาจและสิทธิพิเศษแก่เอกชนในการทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะบางอย่างได้
เช่นองค์กรวิชาชีพต่างๆ ซึ่งเป็นเอกชน
1.4 ประโยชน์ของการแบ่งประเภทกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
การแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นกฏหมายเอกชนกับกฏหมายมหาชน
ก็เพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้ [4]
(1) ประโยชน์ในการนำคดีขึ้นสู่ศาล
ถ้าเป็นคดีในกฏหมายเอกชน เช่น คดีแพ่ง คดีอาญา องค์กรที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา
คือ ศาลยุติธรรม ส่วนคดีในกฏมหาชนคือ ศาลยุติธรรม
ส่วนคดีในกฏหมายมหาชนจะขึ้นต่อศาลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านกฏหมาย
(3) ประโยชน์ในแง่กระบวนพิจารณา
กฏหมายเอกชนจะมีหลักเกณฑ์ในการดำเนินกระบวนพิจารณาและสืบพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง
ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาส่วนกฏหมายมหาชน
ก็จะมีหลักเกณฑ์ในการดำเนินการกระบวนพิจารณาที่ต่างออกไป
1.5 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
เมื่อได้ทราบถึงความหมาย ลักษณะ ตลอดจนหลักเกณฑ์ของกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนแล้ว
ต่อมาเราจะศึกษาถึงการแยกสาขาย่อยว่า
ทั้งในกฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชนนั้นแยกย่อยออกเป็นกฏหมายใดอีกบ้าง
1.5.1 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายเอกชน
กฏหมายเอกชนเป็นกฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนในฐานะที่เท่าเทียมกัน
สาขาย่อยของกฏหมายเอกชนจึงแยกได้ ดังนี้
(1) กฏหมายแพ่ง (Civill Law)
กฏหมายแพ่ง คือ
กฏหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ของบุคคลในฐานะเอกชนทั่วไป
ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องสถานะของบุคคล (คือ บุคคล ครอบครัว) เรื่องทรัพย์สิน (คือ
ทรัพย์ มรดก) และเรื่องหนี้ (คือ บ่อเกิดแห่งหนี้และผลแห่งนี้)
(2) กฏหมายพาณิชย์ (Commercial Law)
กฏหมายพาณิชย์ คือ
กฏหมายที่ใช้บังคับกับความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน
ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าเป็นปกติธุระ และครอบคลุมตั้งแต่การตั้งองค์กรทางธุรกิจ
(ห้างหุ้นส่วน บริษัท) การจัดหาทุน การทำนิติกรรมทางพาณิชย์
1.5.2 การแยกสาขาย่อยในกฏหมายมหาชน
เมื่อกฏหมายมหาชนกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน
จึงสามารถแยกประเภทของกฏหมายมหาชนได้ ดังนี้
(1) กฏหมายรัฐธรรมนูญ
(2) กฏหมายปกครอง
(3) กฏหมายการคลังและการภาษีอากร
(6) กฏหมายอาญา
กฏหมายอาญา คือ
กฏหมายที่กำหนดความผิดทางอาญาพื้นฐานที่สังคมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ต้องลงโทษ
ข้อสังเกตุ
แม้กฏหมายอาญาจะเป็นกฏหมายที่มีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฏหมามหาชน
(5) กฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
กฏหมายวิธีจารณาความแพ่ง คือ
กฏหมายที่กำหนดเขตอำนาจศาลและการดำเนิน
(4) กฏหมายสังคม
กฏหมายสังคมจะประกอบไปด้วย
กฏหมายแรงงานและกฏหมายประกันสังคม
(3) กฏหมายการเกษตร
กฏหมายการเกษตร คือ
กฏหมายที่ว่าด้วยกิจกรรมทางการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ [5]
(2) ประโยชน์ในแง่เนื้อหาของกฏหมาย
กฏหมายเอกชนและกฏหมายของมหาชน
จะมีหลักของเนื้อหากฏหมายต่างกันออกไป เพราะตั้งอยู่บนวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
2. กฏหมายสารบัญญัติและกฏหมายวิธีสบัญญัติ
กฏหมายสารบัญญัติ หมายถึง
กฏหมายที่บัญญัติหน้าที่ถึงเนื้อหาของสิทธิ หน้าที่ ข้อห้าม
กฏหมายวิธีสบัญญัติ หมายถึง
กฏหมายที่บัญญัติถึงกระบวนการในการยุติข้อพิพาทที่เกิดขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม
อาจมีกรณีที่กฏหมายฉบับหนึ่งมีเนื้อหาที่เป็นทั้งส่วนสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติรวมอยู่ด้วยกันได้
เช่น
พระราชบัญญัติล้มละลาย
ซึ่งมีเนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวกับหลักเกณฑ์องค์ประกอบ และสภาพบังคับ
เป็นกฏหมายสารบัญญัติ และมีเนื้อหาที่กล่าวถึงวิธีการดำเนินคดีล้มละลาย
ซึ่งเป็นกฏหมายวิธีสบัญญัติรวมอยู่ด้วย[6]
3. กฏหมายประเภทอื่นๆ ในการแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นประเภทต่างๆ นั้น โดยหลักแล้วการแบ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่มคือ
กฏหมายเอกชนและกฏหมายมหาชน
(ซึ่งแบ่งโดยถือลักษณะการใช้เป็นเกณฑ์)
ในส่วนนี้จะขอกล่าวถึงการแบ่งแยกกฏหมายออกเป็นประเภทอื่นๆ อยู่ 3 กรณีด้วยกัน กล่าวคือ
(1) กฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก
(2) กฏหมายลายลักษณ์อักษรและกฏหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
(3) กฏหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาและกฏหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
3.1กฏหมายภายในและกฏหมายภายนอก
การแบ่งประเภทออกเป็นกฏหมายในและกฏหมายนอกนี้
เป็นการแบ่งโดยยึดถือหลักเกณฑ์ที่แหล่งกำเนิดเป็นสำคัญ กล่าวคือ
3.1.1กฏหมายภายใน
กฏหมายภายใน หมายถึง
กฏหมายที่ใช้บังคับภายในประเทศ ซึ่งออกโดยองค์กรที่มีอำนาจในการตรากฏหมายของประเทศนั้น
3.1.2กฏหมายภายนอกหรือกฏหมายระหว่างประเทศ
กฏหมายระหว่างประเทศนั้น
เป็นกฏหมายที่บัญญัติขึ้นโดยองค์การระหว่างประเทศหรือเกิดขึ้นจากความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกที่เห็นพ้องต้องกันที่จะยอมรับกฏหมายหรือข้อตกลงระหว่างประเทศนั้น
กฏหมายระหว่างประเทศ อาจแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ
ได้ 3 ประเภท ด้วยกันคือ
(1) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง (Public
International Law)
(2) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล (Private
International Law)
(3) กฏหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา (International
Criminal Law)
9. ท่านเข้าใจถึงคาว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไร
มีการแบ่งอย่างไร
ตอบ ได้มีนักวิชาการ (ดิเรก ควรสมาคม, 2547,
76; ศรีราชา เจริญพานิช, 2548, 130) ได้กล่าวว่าคาว่า
“ศักดิ์ของกฎหมาย” พอที่จะสรุปได้ว่า “เป็นการจัดลาดับแห่งค่าบังคับของกฎหมายหรืออาจกล่าวได้ว่าอาศัยอานาจขององค์กรที่ใช้อานาจจากองค์กรที่แตกต่างกัน”
จากประเด็นดังกล่าวพอที่จะกล่าวต่อไปได้อีกว่า
ในการจัดลาดับมีการจัดอย่างไร ซึ่งจะต้องอาศัยหลักว่า
กฎหมายหรือบทบัญญัติใดของกฎหมายที่อยู่ในลาดับที่ต่ากว่า
จะขัดหรือแย้งกับกฎหมายในลาดับที่สูงกว่าไม่ได้และเราจะพิจารณาอย่างไร
โดยพิจารณาจากองค์กรที่มีอานาจในการออกกฎหมาย โดยใช้เหตุผลที่ว่า (1) การออกกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ควรจะเป็นกฎหมายเฉพาะที่สาคัญ
เป็นการกาหนดหลักการและนโยบายเท่านั้น เช่น พระราชบัญญัติที่ออกโดยรัฐสภาซึ่งเป็นตัวแทนของปวงชน
(2) การให้รัฐสภา เป็นการทุ่นเวลา
และทันต่อความต้องการและความจาเป็นของสังคม (3) ฝ่ายบริหารหรือองค์กรอื่นจะออกกฎหมายลูกจะต้องอยู่ในกรอบของหลักการและนโยบายในกฎหมายหลักฉบับนั้น
การจัดลาดับความสาคัญตามศักดิ์ของกฎหมาย (Hierarchy
of laws) พอที่จะสรุปได้ดังนี้
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เป็นกฎหมายหลักที่ให้หลักประกันแก่ประชาชน
หากมีกฎหมายใดออกมาขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญมิได้
กฎหมายฉบับนั้นย่อมไม่มีผลใช้บังคับ
ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทที่ยึดหลักในการปกครองและบริหารประเทศ ตอบสนองและสอดคล้องนโยบายที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
2. พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย
เป็นกฎหมายที่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติโดยความเห็นชอบของรัฐสภา
ที่เป็นตัวแทนของประชาชน และพระมหากษัตริย์ได้ลงพระปรมาภิไธยใช้บังคับเป็นกฎหมาย
เป็นกฎหมายที่ออกตามปกติธรรมดา ได้แก่ พระราชบัญญัติ
เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคาแนะนายินยอมของรัฐสภา
เป็นกฎหมายที่มีความสาคัญรองลงมาจากรัฐธรรมนูญ หากเกี่ยวพันกันหลายเรื่อง
ออกในรูปประมวลกฎหมายก็ได้ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายที่ดิน
ประมวลกฎหมายรัษฎากร เป็นต้น สาหรับประมวลกฎหมายเหล่านี้เมื่อร่างเสร็จจะต้องมีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายฉบับนั้น
ๆ อีกครั้งหนึ่ง
3. พระราชกาหนด
เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอานาจตามรัฐธรรมนูญ
และทรงตราขึ้นตามคาแนะนาของคณะรัฐมนตรีเฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลพิเศษ
กรณีเร่งด่วนหรือภาวะฉุกเฉินในการรักษาความปลอดภัย ความมั่นคง
หรือรักษาผลประโยชน์ของประเทศ
เมื่อตราแล้วจะต้องนาเสนอต่อรัฐสภาภายในระยะเวลาอันสั้น (2
หรือ 3 วัน)
ถ้าสภาอนุมัติพระราชกาหนดก็กลายสภาพเป็นกฎหมายเสมือนพระราชบัญญัติ
ถ้าไม่อนุมัติมีอันตกไปไม่มีผล
4. ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติ
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้มอบอานาจให้พระมหากษัตริย์ทรงออกกฎหมายในรูปพระบรมราชโอการได้
แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ ให้พระราชอานาจไว้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับพระราชกาหนด
ใช้ในยามที่มีสถานะสงครามหรือในภาวะคับขัน อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
และการใช้อานาจนิติบัญญัติทางรัฐสภาอาจขัดข้องหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
5. พระราชกฤษฎีกา
เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคาแนะนาของคณะรัฐมนตรีหรือเป็นกฎหมายอื่นที่ฝ่ายบริหารได้ออกโดยอาศัยอานาจแห่งกฎหมาย
และ พระราชกฤษฎีกาจึงมีศักดิ์ต่ากว่าพระราชบัญญัติ พระราชกาหนด
และประกาศพระบรมราชโองการ และจะขัดกับกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าไม่ได้
ยังมีพระราชกฤษฎีกาบางประเภทที่ออกโดยอาศัยอานาจตามรัฐธรรมนูญ เช่น
พระราชกฤษฎีกาเปิดหรือปิดสมัยประชุมสภา พระราชกฤษฎีกายุบสภา
มีความสาคัญมากกว่าพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอานาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
6. กฎกระทรวง
เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกาหนดเป็นผู้ออก
เพื่อให้การดาเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายหลักในเรื่องนั้น ๆ
เป็นการออกกฎกระทรวงโดยฝ่ายบริหาร เช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกา ต่างกับพระราชกฤษฎีกาตรงที่ว่าเป็นเรื่องสาคัญมาก
ถ้าสาคัญรองลงมา ก็จะออกเป็นกฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่ออกตามกฎหมายแม่บท
นอกจากกฎกระทรวง หากจะกาหนดกฎเกณฑ์ในทางปฏิบัติ จะออกระเบียบ ข้อบังคับหรือประกาศ
เพื่อความสะดวกในการบริหารงานได้อีกด้วย
7. ข้อบัญญัติจังหวัด เป็นกฎหมายที่ออกตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ให้อานาจองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่มีอานาจปกครองดูแล
ให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนในท้องถิ่นที่องค์กรนั้นบริหารรับผิดชอบ
จึงให้อานาจองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอานาจออกข้อบัญญัติจังหวัดเพื่อจัดเรียบสังคมดูแลทุกข์สุขของประชาชน
มีผลใช้บังคับเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดนั้น ๆ จะบังคับนอกพื้นที่จังหวัดมิได้
8. เทศบัญญัติ
เป็นกฎหมายที่ออกตามพระราชบัญญัติเทศบาล การแบ่งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็น 3
ระดับคือ เทศบาลตาบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร
ซึ่งอาศัยความหนาแน่นของประชากรตามที่พระราชบัญญัติกาหนด
10. ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตาบล
เป็นกฎหมายที่มีลาดับที่ต่าที่สุด ออกตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนตาบล
องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น มีอานาจหน้าที่ที่จะปกครองดูแล
และให้บริการสาธารณะแก่ตาบล เพื่อใช้ในการบริหารงานราชการในท้องถิ่นที่ของตาบลนั้น
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว
ยังมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิเศษ จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายพิเศษ เช่น กรุงเทพมหานคร
และเมืองพัทยา ซึ่งประชาชนทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายในระดับต่าง ๆ
ดังกล่าวทั้งสิ้น รัฐจะต้องสร้างความเป็นธรรมแก่ประชาชน ทาอย่างไรที่จะต้องให้ประชาชนได้รู้กฎหมายเพื่อป้องกันสิทธิ
และรู้จักหน้าที่ของตนเองในฐานะที่เป็นพลเมืองที่ดี
10. เหตุการณ์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชน ณ
ลานพระบรมรูปทรงม้า และประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบ แต่ปรากฏว่า
รัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุม
และขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ ลงมือทาร้ายร่างกายประชาชน
ในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่า รัฐบาลกระทาผิดหรือถูก
ตอบ เป็นการกระทำที่ผิด เพราะ ประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเองกันทั้งนั้น แต่ถ้ารัฐบาลกระทำรุนแรงกับประชาชนแล้วสิทธิของประชาชนจะตั้งไว้เพื่อทำอะไร เพราะในรัฐธรรมนูญ ระบุอยู่แล้วว่า หน้าที่ของประชาชน
1. บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการครองระบอบประชาธิปไตยบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2. บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย 3. บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิของตนเอง 4. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศการศึกษาในระบบมีสองระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งจัดไม่น้อยกว่า 12 ปี ก่อนระดับอุดมศึกษา และระดับอุดมศึกษา ซึ่งแบ่งเป็นระดับต่ำกว่าปริญญา และระดับปริญญาให้มีการศึกษาภาคบังคับเก้าปี นับจากอายุย่างเข้าปีที่เจ็ด จนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก หรือเมื่อสอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ
- สำหรับเรื่องสถานศึกษานั้น การศึกษาปฐมวัย และการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้จัดใน
1) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
2) โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนของรัฐ เอกชน และโรงเรียนที่สังกัดสถาบันศาสนา
3) ศูนย์การเรียน ได้แก่ สถานที่เรียนที่หน่วยงานจัดการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กร ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์ และสถาบันสังคมอื่นเป็นผู้จัด
11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ คาว่า
กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
กฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้ในการศึกษา
ตอบ การจัดการศึกษา
ให้ยึดหลักดังนี้ เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
การจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ
การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สถานศึกษาจัดได้ทั้งสามรูปแบบ
และให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่างรูปแบบได้
ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม
- การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา
ให้จัดในมหาวิทยาลัย สถาบัน วิทยาลัย หรือ
หน่วยงานทื่เรียกชื่ออย่างอื่นทั้งนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- การจัดการอาชีวศึกษา
การฝึกอบรมวิชาชีพ ให้จัดในสถานศึกษาของรัฐ สถาน ศึกษาของเอกชน สถานประกอบการ
หรือโดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับสถานประกอบการ กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานอื่นของรัฐ อาจจัดการศึกษา
เฉพาะทางตามความต้องการและความชำนาญของหน่วยงานนั้นได้โดยคำนึงถึงนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของชาติ
12. ในฐานะที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้
ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาท่านคิดว่า เมื่อท่านไปประกอบอาชีพครู
จะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง
ตอบ มีผลกระทบต่อสังคมไทย ก็คือว่า มีการจัดระเบียบของข้อบังคับ
ไม่ครบตามองค์เป้าหมาย มีปัญหาต่างๆ เช่นการทุจริต
การคอรัปชั่นของผู้ที่กระทำความผิดเอาเปรียบผู้อื่น
กฎหมายเอาโทษกับผู้ที่กระทำความผิดไม่ได้
จึงเป็นปัญหาอย่างยิ่งที่เราต้องมีกฎหมายเป็นข้อบังคับของผู้ที่จะกระทำความผิด มาลงโทษตามคดีของกฎหมายที่ได้จัดระเบียบที่เหมาะสม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น